ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ไกลโคไลซิส"
Nullzerobot (คุย | ส่วนร่วม) ล โรบอต: แทนที่คำ |
Nullzerobot (คุย | ส่วนร่วม) ล ลบลิงก์ที่ซ้ำซ้อน wikidata |
||
บรรทัด 63: | บรรทัด 63: | ||
[[หมวดหมู่:คาร์โบไฮเดรต]] |
[[หมวดหมู่:คาร์โบไฮเดรต]] |
||
{{Link FA|de}} |
{{Link FA|de}} |
||
[[ar:تحلل سكري]] |
|||
[[be:Гліколіз]] |
|||
[[be-x-old:Гліколіз]] |
|||
[[bg:Гликолиза]] |
|||
[[ca:Glicòlisi]] |
|||
[[cs:Glykolýza]] |
|||
[[da:Glykolyse]] |
|||
[[de:Glykolyse]] |
|||
[[el:Γλυκόλυση]] |
|||
[[en:Glycolysis]] |
|||
[[eo:Glikolizo]] |
|||
[[es:Glucólisis]] |
|||
[[et:Glükolüüs]] |
|||
[[eu:Glukolisi]] |
|||
[[fa:قندکافت]] |
|||
[[fi:Glykolyysi]] |
|||
[[fr:Glycolyse]] |
|||
[[gl:Glicólise]] |
|||
[[he:גליקוליזה]] |
|||
[[hi:ग्लाइकोलिसिस]] |
|||
[[ht:Glikoliz]] |
|||
[[hu:Glikolízis]] |
|||
[[id:Glikolisis]] |
|||
[[it:Glicolisi]] |
|||
[[ja:解糖系]] |
|||
[[ka:გლიკოლიზი]] |
|||
[[kk:Гликолиз]] |
|||
[[ko:해당]] |
|||
[[lb:Glykolys]] |
|||
[[lt:Glikolizė]] |
|||
[[mk:Гликолиза]] |
|||
[[nl:Glycolyse]] |
|||
[[no:Glykolyse]] |
|||
[[pl:Glikoliza]] |
|||
[[ps:ګلايکوليسېز]] |
|||
[[pt:Glicólise]] |
|||
[[ro:Glicoliză - Calea Embden-Meyerhoff-Parnas]] |
|||
[[ru:Гликолиз]] |
|||
[[simple:Glycolysis]] |
|||
[[sk:Glykolýza]] |
|||
[[sl:Glikoliza]] |
|||
[[sr:Гликолиза]] |
|||
[[su:Glikolisis]] |
|||
[[sv:Glykolys]] |
|||
[[ta:சர்க்கரைச் சிதைவு]] |
|||
[[tl:Glikolisis]] |
|||
[[tr:Glikoliz]] |
|||
[[uk:Гліколіз]] |
|||
[[zh:糖酵解]] |
|||
[[zh-min-nan:Thn̂g-kái]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 23:16, 10 มีนาคม 2556
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
ไกลโคไลซิส (อังกฤษ: Glycolysis) เป็นกระบวนการปฏิกิริยาเคมีที่พบทั้งในโพรแคริโอตและยูแคริโอตโดยในยูแคริโอตนั้นพบบริเวณไซโทซอลของเซลล์ เป็นกระบวนการสังเคราะห์โมเลกุล ATP กับ NADH จากโมเลกุลของกลูโคสกล่าวโดยสรุปแล้วหนึ่งโมเลกุลของกลูโคสเมื่อผ่านกระบวนการไกลโคไลซิสแล้วได้สองโมเลกุลของ ATP, NADH และ ไพรูเวต เป็นการย่อยสลายโมเลกุลของกลูโคส (คาร์บอน 6 ตัว) ไปเป็นไพรูเวต (คาร์บอน 3 ตัว)
ปฏิกิริยาในไกลโคไลซิส
ปฏิกิริยาในไกลโคไลซิสแบ่งได้เป็นสองช่วงคือ
- ช่วงการเตรียมการ (preparation phase) เป็นขั้นตอนที่ต้องการ ATP และมีการแบ่งกลูโคสออกเป็นน้ำตาลที่มีคาร์บอน 3 ตัว 2 โมเลกุล ปฏิกิริยาในช่วงนี้ได้แก่
- เติมฟอสเฟตที่คาร์บอนตัวที่ 6 ของกลูโคสได้เป็นกลูโคส -6-ฟอสเฟต ใช้ไป 1 ATP
- เปลี่ยนกลูโคส – 6 – ฟอสเฟตไปเป็น ฟรุกโตส – 6 – ฟอสเฟต
- เพิ่มฟอสเฟตให้ ฟรุกโตส – 6 – ฟอสเฟต เป็นฟรุกโตส – 1,6- บิสฟอสเฟต ใช้ไป 1 ATP
- แตกโมเลกุลของ ฟรุกโตส – 1,6- บิสฟอสเฟต ไปเป็นไดไฮดรอกซีอะซีโตนฟอสเฟต (dihydroxyacetonephosphate) กับ กลีเซอรอลดีไฮด์- 3- ฟอสเฟต (glyceraldehydes – 3- phosphate)
- ไดไฮดรอกซีอะซีโตนฟอสเฟต เปลี่ยนมาเป็น กลีเซอรอลดีไฮด์- 3- ฟอสเฟต
- ช่วงที่ได้คืน (payoff phase) เกิดปฏิกิริยาดังต่อไปนี้
- เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น เปลี่ยน กลีเซอรอลดีไฮด์- 3- ฟอสเฟตเป็น 1,3-บิสฟอสโฟกลีเซอเรต (1,3-bisphosphoglycerate) ได้ NADH + H+ 1 โมเลกุล
- ย้ายหมู่ฟอสเฟตจาก 1,3-บิสฟอสโฟกลีเซอเรต ไปยัง ADP ได้ ATP กับ 3-ฟอสโฟกลีเซอเรต (3-phosphoglycerate)
- เปลี่ยน 3-ฟอสโฟกลีเซอเรต เป็น 2-ฟอสโฟกลีเซอเรต
- เปลี่ยน 2-ฟอสโฟกลีเซอเรต ไปเป็น ฟอสโฟอีนอลไพรูเวต (phosphoenolpyruvate)
- ย้ายหมู่ฟอสเฟตจากฟอสโฟอีนอลไพรูเวตไปยัง ADP ได้ 1 ATP และไพรูเวต
ภาพรวมของปฏิกิริยาเป็นดังนี้
D-กลูโคส | ไพรูเวต | ||||
+ 2 NAD+ + 2 ADP + 2 Pi | ไฟล์:Biochem reaction arrow foward NNNN horiz med.png | 2 | + 2 NADH + 2 H+ + 2 ATP + 2 H2O |
โดยสรุป ต่อกลูโคส 1 โมเลกุล ใช้พลังงานไป 2 ATP ส่วนในขั้นตอนจะได้ 4 ATP (ได้ 2 ATP ต่อกลีเซอรอลดีไฮด์- 3- ฟอสเฟต 1 โมเลกุล ทั้งนี้ กลูโคส 1 โมเลกุลจะได้ กลีเซอรอลดีไฮด์- 3- ฟอสเฟต 2 โมเลกุล จึงได้ทั้งหมด 4 ATP) และได้ NADH + H+ 2 โมเลกุลเนื่องจาก NADH + H+ เมื่อเข้าสู่กระบวนการถ่ายเทอิเล็กตรอนในปฏิกิริยาฟอสโฟรีเลชั่นจะมีการขับโปรตรอนออกสู่ช่องว่างระหว่างเยื่อหุ้ม 3 ครั้ง ซึ่งเมื่อเกิดการไหลกลับการโปรตรอนจะเทียบเท่ากับพลังงาน 3 ATP เพราะฉะนั้น ปฏิกิริยาไกลโคไลซิสจึงได้พลังงานทั้งสิ้น 4 + 6 เป็น 10 ATP ใช้ไป 2 ATP พลังงานสุทธิเป็น 8 ATP
การเปลี่ยนแปลงของไพรูเวต
ไพรูเวตที่ได้จากไกลโคไลซิสจะมีการเปลี่ยนแปลงไปได้ 3 ทาง ดังนี้
- ในสภาวะที่มีออกซิเจนไพรูเวต (คาร์บอน 3 ตัว) ถูกเปลี่ยนเป็น อะเซติลโคเอ (acetyl-CoA) (คาร์บอน 2 ตัว) ได้คาร์บอนไดออกไซด์ 1 โมเลกุล จากนั้น อะเซติลโคเอ จะถูกเปลี่ยนเป็นอะซีเตต (acetate) เพื่อเข้าวัฏจักรเครบส์
- ในสภาวะที่ไม่มีออกซิเจน เช่นกล้ามเนื้อลายที่ทำงานหนัก ส่วนของพืชที่จมอยู่ใต้น้ำ หรือในแบคทีเรียที่หมักกรดแลกติก ไพรูเวตจะเป็นตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้ายแทนออกซิเจนได้เป็นกรดแลกติก ในกล้ามเนื้อกรดแลกติกนี้จะถูกส่งมายังตับเพื่อเปลี่ยนเป็นกลูโคสเมื่อได้ออกซิเจนเพียงพอ
- ในยีสต์ และจุลินทรีย์อื่นๆที่เกิดการหมัก จะเปลี่ยนไพรูเวตไปเป็นอะซีตัลดีไฮด์ (acetaldehyde) จากนั้นอะซีตัลดีไฮด์จะมาเป็นตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้ายได้เป็นเอทานอล เอนไซม์ที่ใช้ในการหมักแอลกอฮอล์นี้พบได้ทั้งในยีสต์ที่หมักเบียร์ หมักขนมปัง และในสิ่งมีชีวิตอื่นทุกชนิดที่หมักแอลกอฮอล์ได้ รวมถึงพืชบางชนิด แต่ไม่พบในสัตว์และสิ่งมีชีวิตที่เกิดการหมักกรดแลกติกได้
การเข้าสู่วิถีไกลโคไลซีสของคาร์โบไฮเดรทอื่นๆ
ถ้าเป็นคาร์โบไฮเดรทโมเลกุลใหญ่ เช่นแป้งหรือไกลโคเจน จะต้องถูกย่อยสลายด้วยวิธีฟอสโฟโรลัยซีสก่อน สำหรับไดแซคคาไรด์ต้องถูกย่อยสลายเป็นโมโนแซคคาไรด์แล้วเข้าวิถีไกลโคไลซีส โดยในบรรดาโมโนแซคคาไรด์ทั้งหลาย กาแลคโตสเข้าวิถีไกลโคไลซีสด้วยวิธีที่แตกต่างออกไปโดยอาศัย 4 ปฏิกิริยา สมการสุทธิ 2 กาแลกโตส + 2 ATP + UTP และได้ UDP-กาแลคโตส + PP + 2ADP ซึ่ง 1 โมเลกุลของ กาแลคโตส จะได้ 1 โมเลกุลของ กลูโคส[1]
อ้างอืง
<references \>
อ้างอิง
- ↑ รศ.สุนันทา ภิญญาวัธน์ ชีวเคมี 2 หน้า 104 คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ISBN 978-616-513-461-3